การติดเชื้อเอชไอวี ต่างจาก โรคเอดส์ อย่างไร? เข้าใจให้ถูกต้อง!
ในปัจจุบันผู้คนในสังคมมักจะมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง HIV แบบผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่อง เอชไอวี และ เอดส์ เป็นเรื่องเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน นั้นถือว่าเป็นการเข้าใจผิดเป็นอย่างยิ่ง ในบทความนี้เราจะทำการอธิบายความแตกต่างระหว่าง HIV และ AIDS ว่าแตกต่างกันอย่างไรทั้งในเรื่องของความหมาย สาเหตุ อาการ และการรักษา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
HIV คืออะไร?
เชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus; HIV) คือ ไวรัสที่มุ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จำพวก T-helper cell หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาเพื่อควบคุมระดับ CD4 ก็จะพัฒนาเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์หรือระยะที่ 3 ของการติดเชื้อเอชไอวี เชื้อไวรัสเอชไอวีแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ, น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด, น้ำนมแม่ โดยติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางป้องกัน, การใช้เข็มฉีดยาที่มีเลือดปนเปื้อนร่วมกัน, การรับบริจาคเลือด หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ หรือให้นมลูก
โรคเอดส์ คืออะไร?
โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndromes; AIDS) เป็นระยะของการติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน ระยะนี้มีความอันตรายมากที่สุด เนื่องจากร่างกายมีระดับภูมิคุ้มกันลดลงจนน้อยกว่า 100 cells/mL ทำให้ผู้ที่เป็นโรคเอดส์มีโอกาสติดเชื้อจากโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเชื้อราในปอด, โรคเชื้อราในสมอง, วัณโรคต่อมน้ำเหลือง หรือโรคฝีในสมองได้
หากผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ARV – Antiretroviral Drug) ระบบภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ถูกทำลาย และโดยเฉลี่ยจะใช้เวลา 2-3 ปี ในการพัฒนาจากระยะการติดเชื้อเอชไอวีไปสู่ระยะของโรคเอดส์
ความแตกต่างระหว่าง HIV และ เอดส์
หัวข้อ | การติดเชื้อเอชไอวี | โรคเอดส์ |
---|---|---|
ความหมาย | เป็นภาวะที่ร่างกายมีการติดเชื้อHIV โดยผู้ที่มีการติดเชื้อเอชไอวีอาจจะมีหรือไม่มีอาการของการติดเชื้อก็ได้ | เป็นภาวะที่ผู้ติดเชื้อHIV ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่ถูกต้อง ทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสและเสียชีวิตในที่สุด |
สาเหตุ | การติดเชื้อ HIV สามารถติดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
| ผู้ติดเชื้อHIV ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษาที่ถูกต้อง |
อาการ | อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี สามารถแบ่งได้ตามระยะของการติดเชื้อ ดังนี้
| อาการของผู้ที่เป็นโรคเอดส์มีได้หลายแบบ ตั้งแต่ มีไข้เรื้อรัง ถ่ายเหลวเรื้อรัง น้ำหนักลด มีเชื้อราในปาก มีเชื้อราในปอด มีเชื้อราในสมอง มีฝีในสมอง วัณโรคต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น |
การรักษา | ปัจจุบันการรักษาหลักของการติดเชื้อเอชไอวีแนะนำให้ใช้เป็นยาต้านไวรัส 2-3 ชนิดในการรักษาร่วมกัน (HAART) โดยการกินยาต้านไวรัสนั้นจะทำให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดลดลงจนตรวจไม่เจอและสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้เช่นเดิม | การรักษาผู้ที่เป็นโรคเอดส์ ต้องรักษาด้วยความระมัดระวังเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในขณะที่เริ่มการรักษาได้
|
อาการของผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยเอดส์
ด้วยความที่ HIV และ AIDS นั้นมีความแตกต่างที่ชัดเจน ดังนั้นอาการของผู้ติดเชื้อ HIV และ ผู้ป่วยโรคเอดส์ก็มีความแตกต่างด้วยเช่นกัน ในส่วนนี้ทางเราจะลงรายละเอียดถึงอาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและอาการของโรคเอดส์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
อาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีหลังจากที่มีความเสี่ยงจะมีอาการของการติดเชื้อ HIV ระยะเฉียบพลัน (Acute Phase) ซึ่งจะมีอาการหลังจากที่ได้รับเชื้อมาประมาณ 2-4 สัปดาห์ [1]
อาการทั่วไปที่สามารถพบได้มีลักษณะคล้ายกับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้, หนาวสั่น, อ่อนเพลีย, ปวดเมื่อยเนื้อตัว, เจ็บคอ, มีผื่นแดงขึ้นตามตัว, ต่อมน้ำเหลืองโตกดเจ็บ, เหงื่อออกตอนกลางคืน, หรืออาจจะมีแผลในปากร่วมด้วยได้ เป็นต้น
หากมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้หลังจากที่มีความเสี่ยงต่อในการติดเชื้อเอชไอวี ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาการติดเชื้อ HIV โดยเร็ว
อาการของโรคเอดส์
อาการของโรคเอดส์ที่สามารถพบได้ เช่น มีไข้เรื้อรัง, ถ่ายเหลวเรื้อรัง, น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น นอกจากนี้ในยังมีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาส เช่น เชื้อราในปอด, เชื้อราในสมอง, วัณโรคต่อมน้ำเหลือง, หรือฝีในสมอง เป็นต้น
วิธีป้องกันการติดเชื้อ HIV
การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ นอกจากช่วยลดความเสี่ยงของการสัมผัสสารคัดหลั่งที่อาจมีเชื้อ HIV แล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด เนื่องจากการใช้เข็มร่วมกันเป็นช่องทางที่เชื้อ HIV สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง
- ใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) และ PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV
- ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ HIV เป็นประจำเป็นอีกวิธีที่สำคัญในการป้องกันและรักษาแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากผู้ติดเชื้อในระยะแรกอาจไม่มีอาการ หากตรวจพบเชื้อเร็ว การเข้ารับการรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (ARV) ตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกาย ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ และช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดังนั้น การตรวจสุขภาพและตรวจหาเชื้อเป็นประจำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
HIV รักษาได้ไหม?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อไวรัส HIV ให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมไม่ให้พัฒนาสู่โรคเอดส์ได้ด้วยการกินยาต้านไวรัสเอชไอวี (ARV) ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกาย ไม่ให้เพิ่มจำนวนจนไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ติดเชื้อ (ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี) มีสุขภาพแข็งแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีอายุขัยได้เทียบเท่ากับผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HIV และ เอดส์
มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HIV และ เอดส์ ที่พบบ่อยคือ HIV และ เอดส์ เป็นโรคเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงเอชไอวีเป็นเชื้อไวรัส ส่วนโรคเอดส์เป็นระยะของการติดเชื้อไวรัสที่มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน อีกความเข้าใจผิดคือ HIV ติดต่อได้จากการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะเชื้อไวรัส HIV ไม่สามารถแพร่ผ่านการจับมือ กอด หรือใช้ของใช้ร่วมกันได้
นอกจากนี้ บางคนยังเชื่อว่า ผู้ติดเชื้อ HIV ต้องมีชีวิตไม่ยืนยาว แต่ด้วยการรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (ARV) ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุขัยเทียบเท่าคนทั่วไปได้
สรุป
เอชไอวีเป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง หากไม่ได้รับการรักษาเชื้อจะพัฒนาเข้าสู่โรคเอดส์ (AIDS) และเสียชีวิตได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ARV) ซึ่งช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงและลดโอกาสแพร่เชื้อ นอกจากนี้การใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับการใช้ยา PrEP ยังช่วยลดโอกาสติดเชื้อ HIV ได้มากถึง 99% จึงเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งการหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาปนเปื้อนร่วมกัน และการตรวจเอชไอวีเป็นประจำ ยังเป็นวิธีการป้องกันที่ดีเช่นกัน
อ้างอิง
[1] https://hivinfo.nih.gov/understanding-hiv/fact-sheets/stages-hiv-infection