บริการตรวจหาเชื้อและภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบเอ
โรคไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร
ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Virus; HAV) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อผ่านการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ หลังจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้ว ไวรัสจะใช้เวลาฟักตัวเฉลี่ยประมาณ 28-30 วัน [1] และก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบแบบเฉียบพลันที่มีอาการตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายในระยะเวลา 2 เดือนและไม่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบเอ
หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ เชื้อจะฟักตัวเฉลี่ยประมาณ 28-30 วัน ก่อนที่จะแสดงอาการ โดยระยะเวลาที่แสดงอาการก็แตกต่างกันไป โดยเด็กเล็กอาการจะทุเลาและหายไปใน 3-4 สัปดาห์ และผู้ใหญ่จะหายไปเฉลี่ยใน 3 สัปดาห์
กลุ่มอาการของโรคไวรัสตับอักเสบเอที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ไข้สูง
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดท้อง
- ถ่ายเหลว
- ปัสสาวะสีดำเข้ม
- อุจจาระสีเทา
- ปวดข้อ
- ตัวเหลือง, ตาเหลือง
- มีผื่นที่ผิวหนัง
- จุกแน่นที่ใต้ชายโครงด้านขวา
อาการแทรกซ้อนที่สามารถพบได้ ได้แก่ ตับวายเฉียบพลับและตัวเหลืองเป็นระยะเวลานานสาเหตุจากการคั่งของน้ำดีในตับ โรคไวรัสตับอักเสบเอนั้นสามารถหายเองได้ภายใน 2 เดือน ด้วยการรักษาแบบประคับประคอง และเป็นโรคที่ไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของโรคตับอักเสบเรื้อรังแบบโรคไวรัสตับอักเสบบีและโรคไวรัสตับอักเสบซี อีกทั้งผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้ว จะไม่สามารถกลับไปเป็นซ้ำได้อีก
ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อทางไหน
วิธีการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบเอ
การตรวจคัดกรองการติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบเอทำได้ด้วยการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบเอ หรือ Anti-HAV โดยสามารถตรวจหา Anti-HAV IgG หรือ Anti-HIV IgM ในเลือด หากมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้ว ผลของ Anti-HAV IgG และ/หรือ Anti-HAV IgM จะแสดงเป็นผลบวก
วิธีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอสามารถทำได้ด้วยการรับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนและดื่มน้ำจากแหล่งน้ำสะอาด ล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพสูงในป้องกัน การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอสามารถฉีดวัคได้ทุกเพศ ทุกวัย และสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12 เดือน
โดยประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจะสูงสุดเมื่อได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มภายใน 6 เดือน และไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ หากเคยป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอแล้วเนื่องจากผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบเอก่อน
หากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ต้องรักษาอย่างไร
ในปัจจุบันยังไม่พบวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ที่เป็นแนวทางการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะใช้แนวทางการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น ในระหว่างนี้ผู้ป่วยควรงดการรับประทานอาหารหรือยาที่ส่งผลเสียต่อตับ หรือใช้เฉพาะจำ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารอ่อน ๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการทุเลาลงและหายจากโรคภายใน 2 เดือน หากไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน
บริการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบเอที่ PSK Clinic
ขั้นตอนการเตรียมตัว
- เข้าพบแพทย์เพื่อทำการปรึกษาและวินิจฉัย เพื่อรับทราบขั้นตอนและวิธีการตรวจรักษา
- แพทย์จะทำการเจาะเลือดพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาเพียง 15-20 นาที
- รับทราบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 3-5 วัน หลังจากที่วันที่พบแพทย์
คำถามที่พบบ่อย Frequent Ask Question (FAQs)
อาการของไวรัสตับอักเสบเอ รุนแรงไหม?
ไวรัสตับอักเสบเอ มีอาการขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อและความรุนแรงของโรค ต่อไปนี้คืออาการที่มักพบในผู้ที่ติดเชื้อ
- ตัวเหลือง (Jaundice)
อาการที่ผิวหนังและดวงตามีสีเหลือง เกิดจากการสะสมของสาร Bilirubin ในเลือดมากเกินไป เนื่องจากตับที่ทำงานผิดปกติ ไม่สามารถกรองและขับออกผ่านทางอุจจาระได้
- เบื่ออาหารและอ่อนเพลีย
อาการนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการทำลายของตับที่ทำให้สารอาหารไม่ได้รับการดูดซึมเพียงพอ
- ปวดและจุกแน่นใต้ชายโครงขวา
อาการเจ็บปวดใต้ชายโครงขวาอาจเกิดขึ้นเมื่อตับมีการทำงานผิดปกติ
- คลื่นไส้และอาเจียน
อาการนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการถูกทำลายของตับ ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ
- ไข้ ปวดหัว และปวดเมื่อยตัว
ผู้ป่วยโรค Hepatitis อาจมีอาการไข้ เหงื่อออก ปวดหัว และปวดเมื่อยตัว โดยอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นระยะ
- ถ่ายเหลว
อาการท้องเสียหรือถ่ายเหลวอาจเกิดขึ้นในบางผู้ป่วย
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคไวรัสตับอักเสบเอ
- ผู้ที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรค
เช่น บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลที่ทำงานในสถานพยาบาล หรือผู้ดูแลคนไข้ที่มีโรคไวรัสตับอักเสบเอ
- ผู้ที่ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่อย่างหนาแน่น
เช่น สถานเรียน สถานเลี้ยงเด็ก สถานพักฟื้น และชุมชนที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง เนื่องจากสุขอนามัยที่อาจดูแลไม่ทั่วถึง จึงอาจเกิดการปนเปื้อนในน้ำหรืออาหารได้
- ผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรัง
เนื่องจากโรคตับเรื้อรังอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
- ผู้ป่วยที่มีเชื้อ HIV
การติดเชื้อ HIV จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอเพิ่มขึ้น
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมถุงยางอนามัยป้องกันกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อมาจากคู่นอน
ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) มีสามารถในการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอที่มีคุณภาพสูงสุดในการป้องกัน โดยสามารถเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันได้ตั้งแต่เด็กที่มีอายุ 2 ขวบขึ้นไป และผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิต่อโรคนี้ การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ และคุ้มครองคุณในระยะยาว โดยผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอได้แก่กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ได้กล่าวไปข้างต้น เช่น
- ผู้ที่มีประวัติของโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็ง
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ผู้ที่มีเชื้อ HIV หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันลดลง