PSK Clinic คลินิกสุขภาพทางเพศ บริการตรวจรักษาและให้คำปรึกษา

ไวรัสตับอักเสบบี สู่มะเร็งตับ hbv Hepatitis B virus

ตรวจไรวัสตับอักเสบบี

เลือกอ่านตามหัวข้อ

บริการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBV) พร้อมปรึกษาและรักษาอย่างถูกวิธี

ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในไวรัสที่ก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งสามารถพบการติดเชื้อได้ในทุกเพศและทุกวัย โดยอาการแสดงทั่วไปของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลัน จะมีอาการไข้สูง ตัวเหลืองตาเหลือง ร่วมกับมีค่าการทำงานตับที่สูงมากกว่าปกติ และหลังจากที่ติดเชื้อในระยะเฉียบพลันแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบจะสามารถดำเนินโรคไปสู่ระยะเรื้อรังได้

โรคไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้จากทางไหนบ้าง?

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อได้ทางเลือด น้ำหลั่ง และน้ำเชื้อ ผู้ป่วยสามารถรับเชื้อ HBV ได้ด้วยสาเหตุต่อไปนี้

  • การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนักกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • การถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูก จากมารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะมีอาการอย่างไร?

หลังจากที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ระยะฟักตัวเฉลี่ยของเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจะใช้เวลา 90 วันก่อนที่จะมีอาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี โดยอาการของโรค แบ่งได้เป็น 2 ระยะ ได้แก่
  1. ระยะเฉียบพลัน
    อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไข้สูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว ปัสสาวะสีดำเข้ม อุจจาระสีเทา ปวดข้อ และตัวเหลืองตาเหลือง โดย 10% ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในระยะเฉียบพลันจะสามารถมีการดำเนินของโรคเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีในระยะเรื้อรังได้
  2. ระยะเรื้อรัง
    ความสำคัญของโรคไวรัสตับอักเสบบีในระยะเรื้อรัง คือ 25% ของผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีระยะเรื้อรังสามารถมีการดำเนินโรคไปเป็น โรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเสียชีวิตได้

การตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถตรวจด้วยวิธีการใดบ้าง?

การตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถทำได้ด้วยการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ HBsAg และตรวจหาภูมิป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ Anti-HBs ในเลือดเพื่อใช้ในการประเมินความจำเป็นในการรับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

บริการตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ PSK Clinic

จะใช้การตรวจจากเลือดเป็นหลัก โดยตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ HBsAg และตรวจหาภูมิป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี Anti-HBs

ขั้นตอนการเตรียมตัว

  1. เข้าพบแพทย์เพื่อทำการปรึกษาและวินิจฉัย เพื่อรับทราบขั้นตอนและวิธีการตรวจรักษา
  2. แพทย์จะทำการเก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาเพียง 15-20 นาที
  3. ท่านจะทราบผลภายใน 45 นาทีหลังจากที่เจาะเลือด

PSK Clinic
ปรึกษาแพทย์
โทร 095 049 4142
แอดไลน์ @pskclinic

คำถามที่พบบ่อย Frequent Ask Question (FAQs)

ไวรัสตับอักเสบบีติดต่ออย่างไร

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus) สามารถติดต่อผ่านทางของเลือด น้ำลาย และสารชีวภาพอื่นๆ ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ การติดเชื้อมักเป็นดังนี้

  • การมีเพศสัมพันธ์ 

การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้

  • การใช้สารเสพติด

การใช้สารเสพติดในรูปแบบฉีด เช่น สารเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาในการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าเส้นเลือด เป็นวิธีหนึ่งในการแพร่เชื้อไวรัสจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากคุณใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

  • การแพทย์ 

การใช้เข็มฉีดยาหรือเครื่องมือแพทย์ที่ไม่สะอาดมีการปนเปื้อนเลือดของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีก็ทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

  • การแพร่ระบาดระหว่างสมาชิกในครอบครัว 

การแพร่ระบาดระหว่างสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน ช้อน แก้วน้ำ เป็นต้น

การตรวจไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เพื่อวินิจฉัยถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งแบบธรรมดาและแบบเรื้อรัง ซึ่งการตรวจนี้มีหลายวิธี เช่น

  • การตรวจหาแอนติเจนต์หรือตระกูลของไวรัส 

การใช้การทดสอบเลือกกรอง เช่น การทดสอบอิมมูโนอาคาร์อิสสาหกรรม (Immunoassay) เพื่อตรวจหาปริมาณแอนติเจนต์ตัวบ่งชี้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดหรือน้ำลาย

  • การตรวจกระดาษแผ่นเลือดหรือเลือดทางเส้นเลือด 

การใช้การทดสอบการตรวจหาอาร์เอนเอชเอนเอลิส (Hepatitis B surface antigen, HBsAg) เพื่อตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

  • การตรวจ DNA หรือ RNA ของไวรัส

การใช้เทคนิคการตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) เพื่อตรวจหา DNA หรือ RNA ของไวรัสตับอักเสบบี

ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่

  • ทารกที่มีมารดาเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • ผู้ที่เคยใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เช่น แปรงสีฟัน หรือมีดโกนหนวด เป็นต้น
  • ผู้ที่เคยใช้สารเสพติดรูปแบบฉีด โดยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • ผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ที่มีโอกาสสัมผัสเลือด น้ำเหลือง หรือบาดแผลจากผู้ป่วยตับอักเสบบี เช่น พยาบาล แพทย์ เจ้าหน้าที่กู้ภัย เป็นต้น
  • ผู้ที่เพิ่งคลุกคลีอยู่กับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

การรอผลตรวจไวรัสตับอักเสบบีมักจะใช้เวลาแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาลและวิธีการตรวจที่ใช้ โดยทั่วไปแล้วผลตรวจสามารถระบุได้ภายในระยะเวลาดังนี้

  • ผลตรวจระยะสั้น (Immediate Result) 

บางสถานพยาบาลอาจมีเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถตรวจระบุผลได้ทันทีหลังการตรวจเลือด ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือ 30 นาที ผู้ป่วยสามารถรับผลตรวจได้ในวันเดียวกันที่เข้ารับการตรวจ

  • ผลตรวจระยะยาว (Delayed Result)

สถานพยาบาลบางแห่งอาจต้องส่งตัวอย่างเลือดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการหรือสำนักงานที่มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจที่ซับซ้อนขึ้น ในกรณีนี้ผู้ป่วยจะต้องรอผลตรวจเป็นเวลา 2-3 วัน ก่อนที่จะได้รับข้อมูลผลตรวจผ่านทางสถานพยาบาลหรือผ่านระบบอื่นๆที่ใช้ในการแจ้งผลตรวจ

การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีขั้นตอนพื้นฐานดังนี้

  • การเจาะเลือด 

เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หรือพยาบาลจะทำการเจาะเลือดจากหลอดเลือดในแขนของผู้ป่วยโดยใช้เข็มเล็กๆ ในขั้วสำหรับตรวจเลือด (venipuncture)

  • การเก็บตัวอย่างเลือด 

เลือดที่ได้รับจากการเจาะจะถูกเก็บใส่หลอดตรวจที่มีสารสำหรับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี หรือจะถูกเก็บในหลอดเลือดที่มีสารเอนติโคแกรมสำหรับการตรวจโรคตับอื่นๆ ก็ได้ เพื่อนำไปส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การส่งตัวอย่างเลือดไปตรวจ

ตัวอย่างเลือดที่เก็บไว้จะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี พนักงานที่ห้องปฏิบัติการจะดำเนินการตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในตัวอย่างเลือดนั้น โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) เพื่อตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัส

  • การรอผลตรวจและการประเมินผล 

เมื่อได้ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะแจ้งแพทย์ประจำคลินิกให้ดำเนินการแจ้งผลตรวจนั้นพร้อมกับให้คำแนะนำถึงวิธีป้องกันตัวจากการติดเชื้อ โดยขึ้นอยู่กับผลการตรวจว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ ถ้าหากมีการติดเชื้อ จะประเมินระดับของไวรัสและสถานะการติดเชื้อ (รุนแรงหรือไม่) เพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาและการดูแลต่อไป