บริการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBV) พร้อมปรึกษาและรักษาอย่างถูกวิธี
ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
โรคไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้จากทางไหนบ้าง?
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อได้ทางเลือด น้ำหลั่ง และน้ำเชื้อ ผู้ป่วยสามารถรับเชื้อ HBV ได้ด้วยสาเหตุต่อไปนี้
- การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนักกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- การถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูก จากมารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะมีอาการอย่างไร?
- ระยะเฉียบพลัน
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไข้สูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว ปัสสาวะสีดำเข้ม อุจจาระสีเทา ปวดข้อ และตัวเหลืองตาเหลือง โดย 10% ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในระยะเฉียบพลันจะสามารถมีการดำเนินของโรคเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีในระยะเรื้อรังได้ - ระยะเรื้อรัง
ความสำคัญของโรคไวรัสตับอักเสบบีในระยะเรื้อรัง คือ 25% ของผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีระยะเรื้อรังสามารถมีการดำเนินโรคไปเป็น โรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเสียชีวิตได้
การตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถตรวจด้วยวิธีการใดบ้าง?
บริการตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ PSK Clinic
ขั้นตอนการเตรียมตัว
- เข้าพบแพทย์เพื่อทำการปรึกษาและวินิจฉัย เพื่อรับทราบขั้นตอนและวิธีการตรวจรักษา
- แพทย์จะทำการเก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาเพียง 15-20 นาที
- ท่านจะทราบผลภายใน 45 นาทีหลังจากที่เจาะเลือด
PSK Clinic
ปรึกษาแพทย์
โทร 095 049 4142
แอดไลน์ @pskclinic
คำถามที่พบบ่อย Frequent Ask Question (FAQs)
ไวรัสตับอักเสบบีติดต่ออย่างไร
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus) สามารถติดต่อผ่านทางของเลือด น้ำลาย และสารชีวภาพอื่นๆ ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ การติดเชื้อมักเป็นดังนี้
- การมีเพศสัมพันธ์
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้
- การใช้สารเสพติด
การใช้สารเสพติดในรูปแบบฉีด เช่น สารเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาในการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าเส้นเลือด เป็นวิธีหนึ่งในการแพร่เชื้อไวรัสจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากคุณใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- การแพทย์
การใช้เข็มฉีดยาหรือเครื่องมือแพทย์ที่ไม่สะอาดมีการปนเปื้อนเลือดของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีก็ทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
- การแพร่ระบาดระหว่างสมาชิกในครอบครัว
การแพร่ระบาดระหว่างสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน ช้อน แก้วน้ำ เป็นต้น
ตรวจไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
การตรวจไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เพื่อวินิจฉัยถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งแบบธรรมดาและแบบเรื้อรัง ซึ่งการตรวจนี้มีหลายวิธี เช่น
- การตรวจหาแอนติเจนต์หรือตระกูลของไวรัส
การใช้การทดสอบเลือกกรอง เช่น การทดสอบอิมมูโนอาคาร์อิสสาหกรรม (Immunoassay) เพื่อตรวจหาปริมาณแอนติเจนต์ตัวบ่งชี้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดหรือน้ำลาย
- การตรวจกระดาษแผ่นเลือดหรือเลือดทางเส้นเลือด
การใช้การทดสอบการตรวจหาอาร์เอนเอชเอนเอลิส (Hepatitis B surface antigen, HBsAg) เพื่อตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- การตรวจ DNA หรือ RNA ของไวรัส
การใช้เทคนิคการตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) เพื่อตรวจหา DNA หรือ RNA ของไวรัสตับอักเสบบี
ใครบ้างที่ควรตรวจไวรัสตับอักเสบบี?
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่
- ทารกที่มีมารดาเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ที่เคยใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เช่น แปรงสีฟัน หรือมีดโกนหนวด เป็นต้น
- ผู้ที่เคยใช้สารเสพติดรูปแบบฉีด โดยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ที่มีโอกาสสัมผัสเลือด น้ำเหลือง หรือบาดแผลจากผู้ป่วยตับอักเสบบี เช่น พยาบาล แพทย์ เจ้าหน้าที่กู้ภัย เป็นต้น
- ผู้ที่เพิ่งคลุกคลีอยู่กับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ตรวจไวรัสตับอักเสบบีกี่วันรู้ผล?
การรอผลตรวจไวรัสตับอักเสบบีมักจะใช้เวลาแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาลและวิธีการตรวจที่ใช้ โดยทั่วไปแล้วผลตรวจสามารถระบุได้ภายในระยะเวลาดังนี้
- ผลตรวจระยะสั้น (Immediate Result)
บางสถานพยาบาลอาจมีเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถตรวจระบุผลได้ทันทีหลังการตรวจเลือด ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือ 30 นาที ผู้ป่วยสามารถรับผลตรวจได้ในวันเดียวกันที่เข้ารับการตรวจ
- ผลตรวจระยะยาว (Delayed Result)
สถานพยาบาลบางแห่งอาจต้องส่งตัวอย่างเลือดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการหรือสำนักงานที่มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจที่ซับซ้อนขึ้น ในกรณีนี้ผู้ป่วยจะต้องรอผลตรวจเป็นเวลา 2-3 วัน ก่อนที่จะได้รับข้อมูลผลตรวจผ่านทางสถานพยาบาลหรือผ่านระบบอื่นๆที่ใช้ในการแจ้งผลตรวจ
ตรวจไวรัสตับอักเสบบีมีขั้นตอนอย่างไร
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีขั้นตอนพื้นฐานดังนี้
- การเจาะเลือด
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หรือพยาบาลจะทำการเจาะเลือดจากหลอดเลือดในแขนของผู้ป่วยโดยใช้เข็มเล็กๆ ในขั้วสำหรับตรวจเลือด (venipuncture)
- การเก็บตัวอย่างเลือด
เลือดที่ได้รับจากการเจาะจะถูกเก็บใส่หลอดตรวจที่มีสารสำหรับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี หรือจะถูกเก็บในหลอดเลือดที่มีสารเอนติโคแกรมสำหรับการตรวจโรคตับอื่นๆ ก็ได้ เพื่อนำไปส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- การส่งตัวอย่างเลือดไปตรวจ
ตัวอย่างเลือดที่เก็บไว้จะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี พนักงานที่ห้องปฏิบัติการจะดำเนินการตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในตัวอย่างเลือดนั้น โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) เพื่อตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัส
- การรอผลตรวจและการประเมินผล
เมื่อได้ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะแจ้งแพทย์ประจำคลินิกให้ดำเนินการแจ้งผลตรวจนั้นพร้อมกับให้คำแนะนำถึงวิธีป้องกันตัวจากการติดเชื้อ โดยขึ้นอยู่กับผลการตรวจว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ ถ้าหากมีการติดเชื้อ จะประเมินระดับของไวรัสและสถานะการติดเชื้อ (รุนแรงหรือไม่) เพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาและการดูแลต่อไป