บริการตรวจหาโรคซิฟิลิส ให้คำปรึกษาแนวทางการรักษาอย่างถูกวิธี
โรคซิฟิลิสคืออะไร?
โรคซิฟิลิส (Syphilis) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) ที่พบได้ในเลือด, สารคัดหลั่ง, รวมไปถึงน้ำลาย โดยติดต่อผ่านการสัมผัสกับแผลซิฟิลิสโดยตรง ซึ่งมักเกิดที่บริเวณอวัยวะเพศ, ทวารหนักและปาก ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ หลังจากได้รับเชื้อซิฟิลิส เชื้อจะฟักตัวประมาณ 3 สัปดาห์ อาการของโรคซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ในระหว่างนี้ผู้ป่วยอาจมีหรือไม่มีอาการก็ได้ ปัจจุบันรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ หากผู้ป่วยปล่อยทิ้งไว้ และไม่เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง จะสามารถทำให้เกิดปัญหารุนแรงด้านสุขภาพตามมาได้ อีกทั้งแม่ที่เป็นโรคซิฟิลิสสามารถแพร่เชื้อสู่ลูกในครรภ์ได้เช่นกัน
อาการและระยะของโรคซิฟิลิส
โรคซิฟิลิสมีหลายระยะ ได้แก่ โรคซิฟิลิสระยะที่ 1 (Primary syphilis) โรคซิฟิลิสระยะที่ 2 (Secondary syphilis) โรคซิฟิลิสระยะแฝง (Latent syphilis) และโรคซิฟิลิสระยะที่ 3 (Tertiary syphilis) ซึ่งในแต่ละระยะจะแสดงอาการ และแผลที่ปรากฏแตกต่างกันออกไป
ซิฟิลิสระยะที่ 1 (Primary syphilis)
ระยะนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 21 วัน หลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อซิฟิลิส โดยจะเกิดแผลริมแข็ง (Chancre) ที่มีลักษณะเป็นขอบแข็งนูน ก้นแผลสะอาด กดแล้วไม่เจ็บ เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศทั้งผู้ชายและผู้หญิง, รอบทวารหนัก, หรือปาก ส่วนมากจะปรากฏเพียง 1 แผล และจะหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์ แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ได้รับการรักษาก็ตาม จากนั้นจะเข้าสู่โรคซิฟิลิสระยะที่ 2 ต่อไป
ซิฟิลิสระยะที่ 2 (Secondary syphilis)
อาการของซิฟิลิสระยะที่ 2 คือ จะเกิดผื่นลักษณะสีแดงอ่อนบริเวณลำตัว, แขนและขา ร่วมกับมีผื่นวงกลม หรือวงรีสีแดงเข้มบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า (Roseola Syphilitica) นอกจากนี้อาจเกิด ผื่นนูนแฉะ (Condyloma lata) บริเวณรอบอวัยวะเพศ, รอบทวาร, ปาก ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เหมือนมอดแทะ (Moth-eaten alopecia) ร่วมด้วย อาการอื่น ๆ ที่อาจพบในระยะที่ 2 ได้แก่ มีไข้ต่ำ, ต่อมน้ำเหลืองโตกดแล้วเจ็บ, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, อ่อนเพลีย, เจ็บคอ หากปล่อยไว้และไม่เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคซิฟิลิสจะดำเนินเข้าสู่ระยะแฝงต่อไป
ซิฟิลิสระยะแฝง (Latent syphilis)
ระยะแฝงนี้เชื้อซิฟิลิสสามารถอยู่ในร่างกายได้นานถึง 20 ปี โดยที่ผู้ป่วยไม่แสดงอาการใด ๆ เลย เช่น การเกิดแผลริมแข็ง, ผื่นสีแดง, ผื่นนูนแฉะ เป็นต้น จึงทำให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจผิด คิดว่าตนเองหายจากโรคซิฟิลิส หรือไม่ได้ติดเชื้อซิฟิลิส และแม้ว่าซิฟิลิสระยะแฝงนี้จะไม่แสดงอาการ แต่ผู้ที่ติดเชื้อยังคงสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์
ซิฟิลิสระยะที่ 3 (Tertiary syphilis)
ซิฟิลิสระยะที่ 3 เป็นระยะที่อันตรายมาก เนื่องจากเชื้อซิฟิลิสที่กระจายอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน เริ่มลุกลามเข้าสู่ระบบต่าง ๆ ที่สำคัญในร่างกาย เช่น ระบบหัวใจ, ระบบหลอดเลือด, ระบบสมอง, ระบบประสาท รวมไปถึงกระดูกและข้อ ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจโป่งพอง (Aortic aneurysm), ภาวะลิ้นหัวใจรั่ว (Aortic regugitation) เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถก่อให้เกิดภาวะระบบต่าง ๆ ล้มเหลวจนทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรคซิฟิลิสติดต่ออย่างไร?
โรคซิฟิลิสติดต่อผ่าน การสัมผัสโดนแผลซิฟิลิสโดยตรง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการทำออรัลเซ็กส์ (Oral sex) นอกจากนี้โรคซิฟิลิสยังแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ ทำให้เกิดโรคซิฟิลิสในเด็กแรกเกิด (Congenital syphilis) ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิต หรือก่อให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายของเด็ก ผู้ที่ได้รับเลือดจากผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิส ก็สามารถติดเชื้อซิฟิลิสได้เช่นกัน
โรคซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital syphilis)
โรคซิฟิลิสแต่กำเนิดเกิดจากแม่ที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะตั้งครรภ์ ทำให้เกิดการแพร่เชื้อสู่ลูกผ่านทางรก เมื่อทารกคลอดออกมาจะมีอาการแสดงที่แตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
- ระยะ Early-onset manifestation พบได้หลังจากคลอด 5 สัปดาห์ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ตัวซีด มีผื่น มีตุ่มน้ำใสวาวบริเวณฝ่ามือและเท้า เป็นต้น
- ระยะ Late-onset manifestation จะแสดงอาการหลังจากคลอด 2 ปี อาการที่พบบ่อย ได้แก่ หูหนวก ตาบอด ฟันมีลักษณะผิดปกติ จมูกมีลักษณะผิดปกติ (Syphilis nose) มีความผิดปกติของกระดูก เป็นต้น
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแพร่เชื้อซิฟิลิส
โรคซิฟิลิสไม่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ผู้ติดเชื้อซิฟิลิสใช้งาน เช่น อ่างอาบน้ำ ห้องน้ำ ลูกบิดประตู สระว่ายน้ำ การใช้เสื้อผ้า รวมถึงการรับประทานอาหารจากภาชนะเดียวกัน เป็นต้น
การตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส
การตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิสทำได้โดยการตรวจเลือด (Blood test) เพื่อตรวจหาแอนติบอดี้ (Antibody) ต่อเชื้อซิฟิลิสที่อยู่ในร่างกาย ปัจจุบันนิยมใช้วิธีการตรวจแบบย้อนทาง (Reverse algorithm) ซึ่งมีความแม่นยำและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถตรวจคัดกรองผู้ที่มีการติดเชื้อซิฟลิสมานาน เช่น ผู้ป่วยซิฟิลิสระยะแฝง เป็นต้น โดยแบ่งการตรวจออกเป็น 2 ชนิด
1. การตรวจคัดกรองการติดเชื้อซิฟิลิสในผู้ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ใช้การตรวจ Anti-TP เพื่อตรวจยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิสว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
- หากผล Anti-TP แสดงผลลบ สามารถยืนยันได้ว่าไม่มีการติดเชื้อซิฟิลิส
- หากผล Anti-TP แสดงผลบวก จะต้องทำการตรวจยืนยันอีกครั้งด้วยวิธี RPR เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อซิฟิลิสจริง
- หากผล Anti-TP แสดงผลบวกและผล RPR แสดงผลลบ จะต้องตรวจยืนยันด้วยวิธี TPPA หรือ TPHA เพื่อตรวจยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิสในบุคคลนั้น โดยยึดเอาตามผลของการตรวจ TPPA หรือ TPHA ในการตรวจคัดกรองการติดเชื้อซิฟิลิส
2. การตรวจคัดกรองในผู้ที่เคยเป็นโรคซิฟิลิส
ใช้การตรวจแบบ RPR (Rapid Plasma Reagin) เพื่อยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิส เนื่องจากผู้ที่เคยติดเชื้อซิฟิลิสมาก่อน ผล Anti-TP, TPPA และ TPHA จะแสดงผลบวกไปตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมจนหายแล้วก็ตาม
3. การตรวจคัดกรองซิฟิลิสด้วยวิธีการตรวจน้ำไขสันหลัง
หากผู้ป่วยอยู่ในขั้นซิฟิลิสระยะที่ 3 ที่เชื้อซิฟิลิสได้ลุกลามสู่ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงระบบประสาท ผู้ป่วยอาจถูกพิจารณาให้ตรวจคัดกรองด้วยวิธีการเจาะน้ำไขสันหลัง เพื่อนำน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal fulid) ไปตรวจหาเชื้อซิฟิลิสและความผิดปกติต่อไป
การรักษาโรคซิฟิลิส
วิธีกการรักษาโรคซิฟิลิสจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ซึ่งใช้การฉีดยาปฏิชีวนะเพนิซิลิน (Penicillin)
- ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสระยะที่ 1, 2 และระยะแฝงช่วงต้น (Early latent syphilis) แนะนำให้ ฉีดยาเบนซาทีน เบนซิลเพนิซิลลินจี (Benzathine penicillin G) 2.4 ล้านยูนิตต่อ 1 ครั้ง แบ่งฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกข้างละ 1.2 ยูนิต
- ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสระยะแฝงช่วงปลาย (Late latent syphilis) หรือผู้ป่วยซิฟิลิสที่ไม่ทราบระยะเวลาในการติด (Unknown duration of syphilis) ฉีดยาเบนซาทีน เบนซิลเพนิซิลลินจี (Benzathine penicillin G) 2.4 ล้านยูนิต ติดต่อกัน 3 ครั้ง ครั้งละ 1 สัปดาห์ แบ่งฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพก ข้างละ 1.2 ล้านยูนิต
ยารักษาโรคซิฟิลิสชนิดทาน
หากผู้ป่วยบางรายแพ้ยาเพนิซิลิน แพทย์จะแนะนำให้ทานยา โดยระยะเวลาของการทานยาขึ้นอยู่กับระยะของการดำเนินโรคเช่นกัน
- ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสระยะที่ 1, 2 และระยะแฝง ทานยา Doxycycline 100 mg หลังอาหาร 2 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 14 วัน
- ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสระยะที่ 3 ทานยา Doxycycline 100 mg หลังอาหาร 2 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 28 วัน
ผลข้างเคียงหลังฉีดยารักษาโรคซิฟิลิส
ผู้ป่วยอาจมีไข้, รู้สึกหนาว, มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย บางรายมีผื่นร่วมด้วย อาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดจากปฏิกิริยา จาริช-เฮิร์กไซเมอร์ (Jarisch-Herxheimer Reaction) คือ ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำปฏิกริยากับเชื้อซิฟิลิสที่ตายไปแล้ว และอาการจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยสามารถกินยาลดไข้ เพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ แต่หากอาการยังไม่ทุเลาลง ให้รีบพบแพทย์เนื่องจากอาจสงสัยได้ว่าเกิดการแพ้ยาเพนิซิลิน
โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาหายขาดได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นกัน ปัจจุบันการรักษาหลักยังคงเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยรักษาด้วยยาฉีดหรือยากิน ดังนั้นหากผู้ป่วยสังเกตตัวเองว่ามีอาการเข้าข่ายโรคซิฟิลิส ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอกงและรักษาอย่างถูกต้องโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ เท่านี้ผู้ป่วยก็สามารถหายจากโรคได้ แต่หากผู้ป่วยที่หายจากโรคแล้ว กลับไปสัมผัสกับเชื้อซิฟิลิสอีกครั้ง ก็สามารถกลับมาเป็นโรคซิฟิลิสได้อีกเช่นกัน
วิธีป้องกันตัวจากการติดเชื้อซิฟิลิส
โรคซิฟิลิสติดต่อผ่านการสัมผัสกับแผลโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทางปาก, อวัยวะเพศและทวารหนัก บ่อยครั้งจึงพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อซิฟิลิสมาจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ได้แก่
- ใส่ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หากคู่นอนมีแผลซิฟิลิสบริเวณปาก, อวัยวะเพศ, หรือทวารหนัก ให้งดการมีเพศสัมพันธ์
- งดการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยโรคซิฟิลิสจนกว่าผู้ป่วยจะหาย
- ควรตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เราควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อซิฟิลิสบ่อยแค่ไหน?
ถ้าคุณยังมีเพศสัมพันธ์อยู่เป็นประจำ เราแนะนำให้ตรวจคัดกรองการติดเชื้อซิฟิลิสทุก 3-6 เดือน หรือตรวจคัดกรองการติดเชื้อซิฟิลิสในกรณีที่คุณสงสัยว่ามีการติดเชื้อซิฟิลิสแล้ว เช่น มีแผลคล้ายโรคซิฟิลิสระยะที่ 1 หรือมีผื่นคล้ายโรคซิฟิลิสระยะที่ 2
โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเราสามารถติดเชื้อได้ง่าย เพียงแค่สัมผัสโดนบริเวณแผลซิฟิลิส ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดที่บริเวณอวัยวะเพศ, ทวารหนักและปาก ทำให้ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสส่วนมากติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก ดังนั้นควรป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และตรวจคัดกรองเชื้อซิฟิลิสเป็นประจำ หากต้องการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อซิฟิลิส เรา PSK Clinic ผู้ชำนาญการด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมให้คำปรึกษาและรักษา โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชำนาญการ เพื่อสุขอนามัยทางเพศที่ดีของทุกคน
อ้างอิง
คู่มือการตรวจวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคซิฟิลิสทางห้องปฏิบัติการ กลุ่มบางรักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/1126820210330151117.pdf
โรคซิฟิลิส กรมควบคุมโรค
https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=94
โรคซิฟิลิส มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=883
โรคซิฟิลิส โรงพยาบาลศิริราช
- เขียนโดย ทีมงานพีเอสเค
- เรียบเรียงโดย นพ.พงศกร
- 25/03/2024